5 mistakes online ads 1

5 หลุมพรางของการลงโฆษณาบนโลก Online ที่ทำให้เงินจมไปฟรีๆ

ในวันที่โฆษณาบนโลก Offline เริ่มจะมีอิทธิพลกับผู้ชมน้อยลง เหล่านักการตลาดก็ต้องวิ่งไปหาช่องทางการเข้าถึงลูกค้าใหม่ ซึ่งส่วนมากก็จะหนีไม่พ้นสื่อหรือเว็บไซต์บนโลก Online อย่าง Facebook, Google, YouTube, LINE แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาไม่ได้อย่างที่คิด มาดู 5 ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น จนทำให้การโยนเงินมาที่สื่อเหล่านั้นเสียเปล่ากัน

  1. ลงเงินกระจายหลาย Target มากเกินไป (รักพี่ เสียดายน้อง)
  2. ลงเงินก้อนใหญ่ไปแบบไม่สนใจ Target (เงินเยอะ แล้วจะทำไม?)
  3. คิดว่าเป็นเรื่องของการตลาด ไม่เกี่ยวกับ IT (คิดว่า Online ก็เหมือนกับ Offline)
  4. ชอบเดาทั้งๆที่ มีข้อมูลยืนยันให้ดูอยู่เต็มตา (คิดไปเอง มโนไปเรื่อย)
  5. นักวิทยาศาสตร์ได้เปรียบในเกมนี้ (ทดลองจนรู้สูตรลับ และไม่ล้มเลิก)

1. ลงเงินกระจายหลาย Target มากเกินไป (รักพี่ เสียดายน้อง)

หลายๆ คนจะรู้ว่าแต่ก่อนตอนลงโฆษณาบน TV เราเลือกได้แค่ว่า จะลงโฆษณาขนม ของเล่น วันเสาร์อาทิตย์ ตอนเช้า เพราะเด็กๆดูเยอะ จะลงโฆษณาสินค้าช่วงมีละครทีวี ให้แม่บ้านดูกัน แต่ในโลก Online เราสามารถเลือกอายุ หรือเพศ ได้เลยว่า จะลงไปที่เด็กอายุ 13-20 ปี หรือลงไปที่เพศชาย หรือหญิงเท่านั้นก็ได้ ทำให้นักการตลาดเกิดอาการ แบ่งเงินหลายก้อน ลงไปในหลายกลุ่ม Target ที่สามารถ Customize ขึ้นมาได้ เลยจะส่งผลให้เม็ดเงินโดนกระจายมากเกินไป โฆษณาก็ไม่ค่อยแสดงผลได้อย่างเต็มที่ การแบ่ง Target แบ่งได้ แต่อย่าซอยย่อยซะจนเหลือเงินไม่พอกับการลงโฆษณาของเรา

2. ลงเงินก้อนใหญ่ไปแบบไม่สนใจ Target (เงินเยอะ แล้วจะทำไม?)

สมมุตินักการตลาดเห็นว่าโลก Online มีลูกค้าอยู่เยอะ เลยจะโยกเงินจากสื่อ Offline ทั้งหมดมาลงใน Online เลยก็ลงแบบไม่สนใจ Target เลยกะยิง Mass แต่หารู้ไม่ว่า วิธีนี้เป็นวิธีการผลาญเงินที่เร็วไวมาก เพราะวิธีการคิดเงินในโลก Online มันไม่เหมือนกับใน Offline สมมุติใน Facebook, Google คนแค่เห็นโฆษณาเราผ่านๆ หรือคนไปคลิกโฆษณาของเรา นักโฆษณาก็เสียเงินเลยทันที ไม่เหมือนกับใน Offline ที่เราซื้อช่วงเวลาได้แน่นอน ราคาจ่ายต่อนาทีที่โฆษณาเราแสดงก็มีเรทราคาแน่นอน ดังนั้น ใครจะเข้ามาลงโฆษณาบนโลก Online ไม่ว่าจะเงินมาก เงินน้อย ต้องศึกษาเรื่องการทำ Targeting ไว้ให้ดี

3. คิดว่าเป็นเรื่องของการตลาด ไม่เกี่ยวกับ IT (คิดว่า Online ก็เหมือนกับ Offline)

เมื่อ Technology มันพัฒนาขึ้น พฤติกรรมคนจากที่ดู TV ฟังวิทยุ ก็ย้ายไปท่อง Internet เล่น Mobile App แทน ระบบโฆษณาใน Facebook, Google หรือที่อื่นๆ ก็มีการพัฒนาขึ้นมาเช่นกัน ทำให้เรามี Tools ต่างๆที่ช่วยให้เราลงโฆษณาได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการที่จะใช้ Tools เหล่านั้นต้องได้รับความร่วมมือจากทีม IT, Programmer เข้ามาด้วยนิดหน่อย เช่นการติด Tracking Code ของ Facebook Pixel ช่วยให้ระบบ Optimization ได้ดีขึ้นโฆษณาของเรายิงไปโดน Target มากยิ่งขึ้น ซึ่งสุดท้ายก็ส่งผล ทำให้ยอดขายของเราเติบโตไปด้วย แค่อาศัยความร่วมมือเล็กๆน้อยๆจากฝ่าย IT ที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเลย ผลลัพธ์การลงโฆษณาจะเปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อ

4. ชอบเดาทั้งๆ ที่ มีข้อมูลยืนยันให้ดูอยู่เต็มตา (คิดไปเอง มโนไปเรื่อย)

การลงโฆษณาบน Online ไม่ว่าจะลงไป 100 บาท 1,000 บาท หรือ 1,000,000 บาท สิ่งที่เราได้รับคือ Result แบบ Realtime ซึ่งเป็นข้อมูลที่อาจจะมีศัพธ์เทคนิคต่างๆ ที่เราไม่รู้จัก เช่น CPC, CTR, CVR, CPM เป็นต้น คำเหล่านี้อาจจะดูหน้ากลัว แต่มันก็ไม่ยากเกินความสามารถถ้าเราอยากเรียนรู้ เพราะผลที่เราอ่านค่าพวกนี้ออก มันจะทำให้เราได้เรียนรู้ และเพิ่มประสบการณ์การลงโฆษณาบนโลก Online ของเราเพิ่มขึ้นไปอีกมาก เช่น เราขายกางเกงในผู้ชาย ตอนลงโฆษณาเราก็ทำรูปภาพออกมา 2 รูปแบบ คือ

แบบที่ 1 เอานายแบบผู้ชายมาใส่ยืนเท่ๆ
แบบที่ 2 เป็นกางเกงในเฉยๆวางอยู่กับฉากขาวๆคลีนๆดูสะอาดตา

ถ้าให้เรามโน คิดเอง เราคงคิดว่าแบบที่ 1 ที่มีนายแบบมาใส่ คงทำยอดขายให้เราได้พุ่งกระฉูด แต่ที่ไหนได้พอลงโฆษณาเสร็จพบว่า คนที่เห็นโฆษณาแบบที่ 2 ทักเข้ามาถามและเราทำยอดจากโฆษณานั้นได้มากกว่า ตัววัดว่ามากหรือน้อย มันก็สะท้อนออกมาในตัวเลขข้อมูล Report ที่เราลงโฆษณาไป ถ้าเราเชื่อความคิดตัวเองแบบไม่ลืมหูลืมตา ก็เป็นเครื่องยืนยันได้เลยว่าเราก็เหมือนคนลงทาง เอาเงินไปลงทุนโฆษณากับสิ่งที่ไม่คุ้มค่าอยู่ ทำให้เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์

5. นักวิทยาศาสตร์ได้เปรียบในเกมนี้ (ทดลองจนรู้สูตรลับ และไม่ล้มเลิก)

โลกของการลงโฆษณา ก็เหมือนการเดาใจลูกค้า เวลาทำโฆษณาไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของ ตัวอักษร, ภาพ หรือ Video เราไม่มีทางรู้ก่อนเลยว่าลูกค้าจะชอบชิ้นงานนั้นมั้ย หัวใจของมันก็คือหมั่นทดลอง จดจำ และไม่ล้มเลิกที่จะเรียนรู้พฤติกรรมของคนไปเรื่อยๆ ถ้าเราลงโฆษณาแบบที่ 1 แล้วคนไม่ชอบ เราก็แค่ทดลองแบบที่ 2 3 4 5 ไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเราก็จะรู้เองว่า คนชอบแบบไหน การทำการทดลองแบบนี้ควรจะเป็น Mindset อยู่ข้างในหัวของนักการตลาดและนักโฆษณา เพราะการทำอย่างนี้ มันก็เหมือนการที่เราเปิดรับฟังเสียงผู้บริโภค เปิดรับฟัง Feedback มาปรับปรุงสูตรเราอยู่ตลอดเวลา ทำให้เมื่อเราลองครบทุกอย่างแล้ว เราก็จะรู้สูตรสำเร็จว่าอะไรดี อะไรไม่ดี และไม่ทำผิดพลาดให้เงินจมไปอีก แน่นอนวิธีนี้ใช้ความอดทน แต่ถ้าใครทนความล้มเหลว แต่ไม่ยอมล้มเลิก ได้นานกว่าคนนั้นก็จะเป็นผู้ชนะ

ทั้งหมด 5 ข้อเป็นหลุมพรางที่พบเจอจากประสบการณ์ส่วนตัว ที่ผ่านการลงโฆษณามาในหลายรูปแบบ ซึ่งถ้าใครก้าวข้ามผ่านหลุมต่างๆไปได้ ก็เตรียมเป็นผู้ชนะในสนามการแข่งขันอันดุเดือด อันนี้ได้เลย